วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559

บันทึกการเรียนประจำวันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2559

Diary Note 3

knowledge :

ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

1. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า “เด็กปัญญาเลิศ”

เด็กปัญญาเลิศ (Gifted Child)







- เด็กที่มีความสามารถทางสติปัญญา 
- มีความถนัดเฉพาะทางสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน

ลักษณะของเด็กปัญญาเลิศ
- พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
- เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย 
- อยากรู้อยากเห็นอย่างจริงจัง ชอบซักถาม 
- มีเหตุผลในการแก้ปัญหา  การใช้สามัญสำนึก
- จดจำได้รวดเร็วและแม่นยำ
- มีความรู้ ใช้คำศัพท์เกินวัย
- มีความคิดริเริ่ม มีวิธีการคิดและแนวคิดแปลกๆ
- เป็นคนตื่นตัว เฉียบแหลม ว่องไว และช่างสังเกต 
- มีแรงจูงใจ และมีความมานะบากบั่นมีความจริงจังในการทำงาน 
- ชอบแสวงหาสิ่งท้าทายความคิดความอ่าน


เด็กฉลาด





- ตอบคำถาม
- สนใจเรื่องที่ครูสอน
- ชอบอยู่กับเด็กอายุเท่ากัน 
- ความจำดี
- เรียนรู้ง่ายและเร็ว 
- เป็นผู้ฟังที่ดี 
- พอใจในผลงานของตน


Gifted 


- ตั้งคำถาม 
- เรียนรู้สิ่งที่สนใจ
- ชอบอยู่กับผู้ใหญ่หรือเด็กที่โตกว่า
- อยากรู้อยากเห็น ชอบคาดคะเน
- เบื่อง่าย  
- ชอบเล่า 
- ติเตียนผลงานของตน 

2.  กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง

1. เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา 
2. เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน 
3. เด็กที่บกพร่องทางการเห็น 
4. เด็กที่บกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ 
5. เด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา 
6. เด็กที่บกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ 
7. เด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้ 
8. เด็กออทิสติก 
9. เด็กพิการซ้อน 


1.เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา (Children with Intellectual Disabilities)


เด็กเรียนช้า 


- สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้ 
- เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
- ขาดทักษะในการเรียนรู้ 
- มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย 
- มีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ 71-90 

สาเหตุของการเรียนช้า
ภายนอก
ภายใน

ภายนอก
1. เศรษฐกิจของครอบครัว
2. การสร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่เด็ก
3. สภาวะทางด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
4. การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
5. วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ

ภายใน
พัฒนาการช้า
การเจ็บป่วย




เด็กปัญญาอ่อน



- ระดับสติปัญญาต่ำ 
- พัฒนาการล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย 
- มีพฤติกรรมการปรับตนบกพร่อง
- อาการแสดงก่อนอายุ 18 


พฤติกรรมการปรับตน
- การสื่อความหมาย
- การดูแลตนเอง 
- การดำรงชีวิตภายในบ้าน
- การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม 
- การใช้แหล่งทรัพยากรในชุมชน
- การควบคุมตนเอง
- การนำความรู้มาใช้ในชีวิตประจำวัน
- การใช้เวลาว่าง
- การทำงาน
- การมีสุขอนามัยและความปลอดภัยเบื้องต้น


เด็กปัญญาอ่อน
แบ่งตามระดับสติปัญญา (IQ) ได้ 4 กลุ่ม
1. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20
    - ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่าง ๆ ได้เลย 
    - ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
 
2. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34 
    - ไม่สามารถเรียนได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันเบื้องต้นง่าย ๆ
    - กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า C.M.R (Custodial Mental Retardation)

3. เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49
    - พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่าย ๆ ได้ 
    - สามารถฝึกอาชีพ หรือทำงานง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดลออได้ 
    - เรียกโดยทั่วไปว่า T.M.R (Trainable Mentally Retarded) 

4. เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70 
    - เรียนในระดับประถมศึกษาได้ 
    - สามารถฝึกอาชีพและงานง่าย ๆ ได้ 
    - เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า E.M.R (Educable Mentally Retarded) 

ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
 - ไม่พูด หรือพูดได้ไม่สมวัย
  - ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
  - ความคิด และอารมณ์ เปลี่ยนแปลงง่าย รอคอยไม่ได้
  - ทำงานช้า
  - รุนแรง ไม่มีเหตุผล
  - อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
  - ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน



ดาวน์ซินโดรม Down Syndrome








สาเหตุ

- ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 21 
- ที่พบบ่อยคือโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง (Trisomy 21)

อาการ
- ศีรษะเล็กและแบน  คอสั้น 
- หน้าแบน ดั้งจมูกแบน 
- ตาเฉียงขึ้น ปากเล็ก 
- ใบหูเล็กและอยู่ต่ำ รูหูส่วนนอกจะตีบกว่าปกติ
- เพดานปากโค้งนูน ขากรรไกรบนไม่เจริญเติบโต 
- ช่องปากแคบ ลิ้นยื่น ฟันขึ้นช้าและไม่เป็นระเบียบ 
- มือแบนกว้าง นิ้วมือสั้น 
- เส้นลายมือตัดขวาง นิ้วก้อยโค้งงอ 
- ช่องระหว่างนิ้วเท้าที่ 1 และ 2 กว้าง 
- มีความผิดปกติในระบบต่างๆ ของร่างกาย
- บกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
- อารมณ์ดีเลี้ยงง่าย ร่าเริง เป็นมิตร
- มีปัญหาในการใช้ภาษาและการพูด
- อวัยวะเพศมักเจริญเติบโตไม่เต็มที่ทั้งในชายและหญิง

การตรวจวินิจฉัยก่อนคลอดกลุ่มอาการดาวน์
- การเจาะเลือดของมารดาในระหว่างที่ตั้งครรภ์ 
- อัลตราซาวด์  
- การตัดชิ้นเนื้อรก
- การเจาะน้ำคร่ำ  


2. เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน (Children with Hearing Impaired )
หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง หรือสูญเสียการได้ยินเป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจน มี 2 ประเภท คือ เด็กหูตึง และ เด็กหูหนวก 



เด็กหูตึง หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟัง จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม

1. เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินตั้งแต่ 26-40 dB 
เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบา ๆ เช่น เสียงกระซิบ หรือเสียงจากที่ไกล ๆ

2. เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินตั้งแต่ 41-55 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด 
- จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้ 
- มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบา หรือเสียงผิดปกติ

3. เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินตั้งแต่ 56-70 dB 
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด 
- เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน 
- มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน 
- มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ 
- พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด


4. เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินตั้งแต่ 71-90 dB 
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก 
  - ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูในระยะ 1 ฟุต 
  - การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
  - เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง 
  - เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด



เด็กหูหนวก 





- เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
- เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
- ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้ 
- ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป

ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี มักตะแคงหูฟัง
ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
พูดด้วยเสียงแปลก มักเปล่งเสียงสูง
พูดด้วยเสียงต่ำหรือด้วยเสียงที่ดังเกินความจำเป็น
เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูด หรือจ้องหน้าผู้พูด
รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวรอบตัว
มักทำหน้าที่เด๋อเมื่อมีการพูดด้วย


3. เด็กที่บกพร่องทางการเห็น (Children with Visual Impairments)



- เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสง เห็นเลือนราง
- มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
- สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ
- มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา 

จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอดไม่สนิท 
เด็กตาบอด 

- เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรือมองเห็นบ้าง
- ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้ 
- มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60 , 20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท 
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5 องศา
เด็กตาบอดไม่สนิท 
- เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา 
  - สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ 
  - เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18, 20/60, 6/60, 20/200 หรือน้อยกว่านั้น 
  - มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา

ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการเห็น
เดินงุ่มง่าม ชนและสะดุดวัตถุ
มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
มักบ่นว่าปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
ก้มศีรษะชิดกับงาน หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่ง เมื่อใช้สายตา
ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
มีความลำบากในการจำ และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต

Apply: ได้รู้สาเหตุของความบกพร่องของแต่ละประเภทมากยิ่งขึ้น เข้าใจมากขึ้นในการที่จะดูแลเอาใจใส่เด็กแต่ละประเภท

Assessment :
Place = เรียบร้อยดี
My self = ตั้งใจฟังอาจารย์สอน
Classmate = ให้ความร่วมมือดีมาก

Instructor = อธิบายได้ชัดเจนละเอียด สอนสนุก




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น